วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การโจมตีซอฟต์แวร์ (Deliberate Software Attacks) / Malware คืออะไร !!?



การโจมตีซอฟต์แวร์ (Deliberate Software Attacks)


       การโจมตีซอฟต์แวร์ เกิดขึ้นโดยการออกแบบซอฟต์แวร์ให้โจมตีระบบจากคนๆ เดียวหรือจากกลุ่มคนมีซอฟต์แวร์ที่ก่อความเสียหาย ทำลาย หรือ ปฏิเสธการบริการของระบบเป้าหมาย ซอพต์แวร์ที่ได้รับความนิยมคือ Malicious Code หรือ Malicious Software มักจะเรียกว่า มัลแวร์ (Malware) มีมากมาย อาทิ ไวรัส (Viruses) เวิร์ม (Worms) ม้าโทรจัน (Trojan Horses) Logic bombs และ ประตูหลัง (Back doors)

       Malware หรือ มัลแวร์ ย่อมาจาก Malicious software หมายถึง ซอฟท์แวร์ที่เป็นอันตรายต่อคอมพิวเตอร์ ซึ่งมาจากการเขียนโปรแกรมที่ประกอบด้วย สคริปท์ โค้ด หรือคอนเท็นต์ ต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายหรือขัดขวางการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ หรือนำไปสู่การสูญเสียความเป็นส่วนตัว (ถูกแฮ็กข้อมูล) หรือทำให้ไม่สามารถเข้าไปยังระบบต่างๆ ได้ รวมทั้งอาจทำให้เกิดลักษณะต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์ในคอมพิวเตอร์ 



virus_infect


Virus
       

          ไวรัส (Virus) เป็นที่รู้จักกันดี ด้วยความสามารถในการแพร่กระจาย ไวรัสคอมพิวเตอร์ จะแฝงมากับโปรแกรม ซึ่งเมื่อทำการรัน โปรแกรมแล้วจะทำให้ไวรัสกระจายตัว ไปยังส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ทำให้ซอฟท์แวร์ขัดข้อง ไปจนถึงทำลายฮาร์ดแวร์ได้อีกด้วย   ทั้งนี้ไวรัสมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยการใช้ floppy disk โดยไวรัสแพร่กระจายโดยใช้ floppy disk เป็นพาหะ เมื่อผู้ใช้งานใส่ดิสก์เข้าไป ก็สามารถจะติดไวรัสได้ทันทีเมื่อมีการรันโปรแกรมจากดิสก์ ในปัจจุบันที่เลิกใช้ดิสก์ไปแล้ว ก็สามารถติดไวรัสได้จากการใช้งานไฟล์ที่เชื่อมต่อจากพอร์ท USB
Worm malware

Worms


         หนอน (Worm) เป็นโปรแกรมที่สามารถกระจายตัวไปยังเครือข่ายต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสียหายของซอฟท์แวร์ต่างๆ เหมือนอย่างไวรัส แต่หนอนคอมพิวเตอร์นี้จะน่ากลัวกว่า ตรงที่สามารถกระจายตัวไปยังคอมพิวเตอร์เองได้ โดยผ่านเครือข่าย ซึ่งจะมาในรูปแบบจดหมาย อีเมล หรือไฟล์ที่เมื่อผู้ใช้งานเปิดดู ก็จะติดทันที หนอนคอมพิวเตอร์สามารถแย่งการใช้เครือข่าย หรือทรัพยากรในระบบ รบกวนการทำงานของ server ซึ่งใช้งานกันทั่วไปในแต่ละองค์กร หนอนคอมพิวเตอร์ที่โด่งดังในอดีต ได้แก่ SQL Slammer ที่สามารถติดไปยังคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายนับพันเครื่อง ภายในเวลาไม่กี่นาที และในปัจจุบันหนอนก็ยังคงวนเวียน อยู่ในเครือข่ายการใช้งาน Social network ต่างๆ อีกด้วย



Trojan 

Trojan horses


         
 มีชื่อมาจากม้าไม้ในสงครามเมืองทรอย ซึ่งเป็นการหลอกเชื้อเชิญให้นำม้าไม้เข้าไปในเมือง และเมื่อนำเข้าไปแล้วจึงเกิดการทำลายจากภายใน ซึ่งส่วนใหญ่ภัยจากโทรจันนี้จะมาในรูปแบบข้อความโน้มน้าว เชื้อเชิญให้เรากดเข้าไป จากนั้นจึงสร้างความเสียหายในระบบ หรือส่วนใหญ่นำข้อมูลที่มีอยู่ของเราออกไป หรือเฝ้าดูการใช้งานคอมพิวเตอร์ในระยะำไกล โดยที่เราไม่รู้ตัว

Back Door or Trap Door


          Back door หรือ Trap door เป็นสิ่งที่โปรแกรมเมอร์ได้สร้างไว้และรู้กันเฉพาะกลุ่มสำหรับการเข้าไปแก้ไขระบบ ซึ่งเป็นช่องโหว่ให้แฮคเกอร์เข้ามาในระบบและมีสิทธิพิเศษในการแก้ไขสิ่งต่างๆตัวอย่าง ประเภทของ back door มี Sub seven และ Back Orifice


Polymorphism



          Polymorphism เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาให้มีความยากในการตรวจจับ อาจจะใช้เวลาหลายวันในการสร้างโปรแกรมตรวจจับ เพื่อจัดการกับ polymorphism เพราะมันใช้เทคนิคการซ่อนลักษณะเฉพาะที่สำคัญ (signatures) ไม่ให้คงรูปเดิม เพื่อหลีกจากการตรวจจับของโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

Virus and Worm Hoaxes


          เป็นรูปแบบของการหลอกลวงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เสียเงินเสียเวลาในการวิเคราะห์ โดยไวรัสหลอกลวงจะมาในรูปจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เตือนให้ระวังอันตรายจากไวรัส ด้วยการอ้างแหล่งข้อมูลเป็นรายงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้รับส่งต่อจดหมายเตือนฉบับนั้นต่อๆไปอีกหลายๆทอด ซึ่งเป็นลักษณะของไวรัสหลอกลวง หากได้รับจดหมายประเภทนี้ไม่ควรที่จะส่งต่อ ควรเช็คจากแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องก่อนทำการส่ง และควรจะอัพเดทโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
แหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทในการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสว่าจริงหรือหลอก สำหรับข้อมูลล่าสุดของภัยคุกคามทั้งไวรัส เวิร์ม และโฮแอ็กส์ สามารถเข้าไปได้ที่ CERT Coordination (www.cert.org) เป็นศูนย์รวมการรักษาความปลอดภัยข้อมูล




ที่มา : http://www.siamget.com/buyerguide/1208
          http://beztilicious.blogspot.com/2010/02/2553.html

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Creative Commons.. !!+



 Creative Commons

      ความหมาย
        ครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons: CC) เป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่สนับสนุนการใช้เนื้อหาโดยไม่ถูกจำกัดจากสัญญาอนุญาต สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์จะเอื้อให้มีการใช้สื่อทั้งทางภาพ เสียง ข้อมูล โดยการแบ่งแยกสัญญาอนุญาตย่อยออกสำหรับการแจกจ่ายและการใช้ข้อมูล โดยการอ้างอิงถึงเจ้าของลิขสิทธิ์เดิม

     วัตถุประสงค์

         สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ช่วยให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถให้สิทธิบางส่วนหรือทั้งหมดแก่สาธารณะ ในขณะที่ยังคงสงวนสิทธิอื่นๆไว้ได้ โดยการใช้สัญญาอนุญาตหลายหลากรูปแบบ ซึ่งรวมถึง การยกให้เป็นสาธารณสมบัติหรือสัญญาอนุญาตแบบเปิดทั้งหลาย โดยมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาลิขสิทธิ์ต่อการแบ่งปันสารสนเทศ


     Creative Commons  ในประเทศไทย
โครงการ ครีเอทีฟคอมมอนส์อินเตอร์เนชันแนล (Creative Commons International ย่อว่า CCi) เป็นโครงการที่จัดตั้งโดยครีเอทีฟคอมมอนส์ เพื่อให้มีการจัดการกฎหมายคอมพิวเตอร์ให้สอดคล้องกับกฎหมายของประเทศนั้นๆ ในปัจจุบัน (3 เมษายน พ.ศ. 2552) มีทั้งหมด 51 ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย) ที่ได้จัดทำโดยสมบูรณ์ และอีก 8 ประเทศที่อยู่ในระหว่างการจัดทำ
สำหรับสัญญาครีเอฟทีฟคอมมอนส์ในภาษาไทย จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือของ สำนักกฎหมายธรรมนิติ สถาบัน ChangeFusion และสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรองรับตามหลักเกณฑ์ครีเอทีฟคอมมอนส์ รุ่น 3.0 และปรับให้เข้ากับกฎหมายลิขสิทธิ์ไทย จึงสามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมายไทย ประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552 เป็นลำดับที่ 51 ของโลก


รูปสัญลักษณ์ Creative Commons แบบต่างๆ

Attribution icon (by)
แสดงที่มา (by) หมายถึง :คุณยินยอมให้ผู้อื่นคัดลอก แจกจ่าย จัดแสดง และเผยแพร่งานของคุณ (รวมทั้งงานที่ดัดแปลงจากมัน) – แต่ก็ต่อเมื่อพวกเขาประกาศด้วยว่างานนั้นเป็นของคุณ
NonCommercial icon (nc)

ไม่ใช้เพื่อการค้า (nc) หมายถึง :
คุณยินยอมให้ผู้อื่นคัดลอก แจกจ่าย จัดแสดง และเผยแพร่งานของคุณ (รวมทั้งงานที่ดัดแปลงจากมัน) – แต่สำหรับจุดประสงค์ที่ไม่ใช่เพื่อการค้าเท่านั้น
No Derivative Works icon (nd)

ไม่ดัดแปลง (nd) หมายถึง :
คุณยินยอมให้ผู้อื่นคัดลอก แจกจ่าย จัดแสดง และเผยแพร่งานของคุณ เฉพาะงานที่เหมือนต้นฉบับทุกประการเท่านั้น ไม่ใช่งานที่ถูกแก้ไขดัดแปลง
Share Alike icon (sa)

อนุญาตแบบเดียวกัน (sa) หมายถึง :
คุณยินยอมให้ผู้อื่นแจกจ่ายงานดัดแปลง ด้วยสัญญาอนุญาตที่เหมือนกับที่ใช้กับงานของคุณเท่านั้น
เงื่อนไขเหล่านี้ สามารถประกอบใช้ร่วมกันได้ เช่น :
Attribution icon (by)Share Alike icon (sa) หมายถึง สัญญาอนุญาตแบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน (by-sa)
Attribution icon (by)NonCommercial icon (nc)No Derivative Works icon (nd) หมายถึง แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง (by-nc-nd

การสร้างไฟล์รูปภาพ Creative Commons 
      
     สร้างไฟล์ภาพสำหรับเว็บด้วย Paint
- โปรแกรม Paint เป็นโปรแกรมมาตรฐานของ Windows ทุกรุ่น โดยเฉพาะ Windows 98 เป็นต้นไป ได้เพิ่มความสามารถในการจัดเก็บไฟล์ (Save) ในฟอร์แมต .GIF และ .JPG ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกในการสร้างไฟล์กราฟิกสำหรับเว็บแบบง่ายๆ และรวดเร็ว โดยมีตัวอย่างการสร้างงานดังนี้
เปิดโปรแกรมที่ต้องการนำภาพมาใช้งาน เช่น Microsoft Word, Excel หรือ PowerPoint
ปรับแต่งรูปภาพตามต้องการ เช่น ย่อขนาด

- คลิกเลือกภาพ แล้วเลือกเมนูคำสั่ง Edit, Copy (แก้ไขคัดลอก) เพื่อบันทึกรูปภาพไว้ในหน่วยความจำ
เรียกใช้โปรแกรม Paint โดยคลิกปุ่ม Start จากแถบสั่งงาน แล้วเลือกรายการ Program, Accessories, Paint
เมื่อปรากฏหน้าจอโปรแกรม Paint ให้ใช้เมนูคำสั่ง Image, Attribute เพื่อตั้งค่าพื้นที่ทำงานให้มีขนาดเล็ก เช่นขนาด 100 x 100 Pixels


- จากนั้นเลือกเมนูคำสั่ง Edit, Paste เพื่อวางภาพลงในโปรแกรม ถ้าโปรแกรมปรากฏหน้าต่างสอบถามการวาง ให้คลิกปุ่ม Yes


จากนั้นเลือกเมนูคำสั่ง File, Save (หรือ File, Save As..) ตั้งชื่อไฟล์ไดร์ฟ และเลือกรูปแบบของภาพเป็น .GIF หรือ .JPG ตามที่ต้องการ


   ปริ๊นสกรีน สัญลักษณ์ Creative Commons 


  

         MacThai.com เป็นเว็บสำหรับชาวแมค ทั้งสาวก และไม่สาวก รวมรวบข่าว บทความ บทวิเคราะห์ เรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับ Apple, Mac, iPhone, iPad, iPod โดยทีมงานแฟนพันธุ์แท้สตีฟ จ็อบส์ และกลุ่มผู้ที่รักในแอปเปิลเป็นชีวิตจิตใจ
         
          มีสัญลักษณ์    Creative Commons BY-NC 3.0   หมายถึง บทความต่างๆในเว็บไซต์อนุญาตให้นำไปเผยเเพร่ได้  โดยต้องอ้างอิงที่มา และไม่ใช้เพื่อการค้า




    ขอบคุณที่มา : http://hippogo149.wordpress.com 
                            http://www.macthai.com/2013/11/22/life-on-ipad/
                            http://cc.in.th/

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network)


ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network)
     
ความหมายของระบบเครือข่าย
         ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น


http://www.piacec.moe.go.th/~epower/ITF/menu/5_files/image002.jpg
รูปแสดงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

          ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)

อุปกรณ์ในเครือข่าย
     อุปกรณ์สื่อสารเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับเเละส่งข้อมูลโดยผ่านสื่อกลางไม่ว่าจะเป็นสื่อกลางเเบบใช้สาย  และสื่อกลางเเบบไร้สาย ซึ่งอุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีมากมาย เช่น

        - การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้
         

http://www.piacec.moe.go.th/~epower/ITF/menu/5_files/image006.jpg
รูปแสดงการ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย

          โมเด็ม ( Modem : Modulator Demodulator) หมายถึง อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

http://www.piacec.moe.go.th/~epower/ITF/menu/5_files/image008.jpg
รูปแสดงการใช้โมเด็มในการติดต่อเครือข่ายระยะไกล

           ฮับ ( Hub) คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใช้เป็นจุดรวม และ แยกสายสัญญาณ เพื่อให้เกิดความสะดวก ในการเชื่อมต่อของเครือข่ายแบบดาว (Star) โดยปกติใช้เป็นจุดรวมการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง File Server กับ Workstation ต่าง ๆ

http://www.piacec.moe.go.th/~epower/ITF/menu/5_files/010.jpg
แสดงฮับที่ใช้เป็นจุดเชื่อมต่อและจุดแยกของสาย


ซอฟแวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
          ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย และยังมีหน้าที่ควบคุม การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย  เช่น

Windows NT
http://www.piacec.moe.go.th/~epower/ITF/menu/5_files/312.jpg

   
  โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY)
       
        การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารนั้น สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้

        1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)
        
       โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส จะประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา


http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/bus_topology.jpg
        

          2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)
          
       โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง

http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/ring_topology.jpg
       

          3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)
        
        โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วย

http://www.sa.ac.th/elearning/IMAGE6/STAR.JPG




                  ขอบที่มา : http://www.school.net.th/library/snet1/hardware/network.html 
       



วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มารู้จัก Software กันเถอะ ^____^


Software  คืออะไร ??         


         Software (ซอฟต์แวร์) เป็นองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ที่เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้โดยตรง เป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรม (Program) ที่เขียนขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเสมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ให้สามารถเข้าใจกันได้

Software

ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ซอฟต์แวร์ระบบ
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์

1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software หรือ Operating Software : OS)
          หมายถึงโปรแกรมที่ทำหน้าที่ประสานการทำงาน ติดต่อการทำงาน ระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ Software ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำหน้าที่ในการจัดการ ระบบ ดูแลรักษาเครื่อง การแปลภาษาระดับต่ำหรือระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเพื่อให้เครื่องอ่านได้เข้าใจ

ซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งได้ 4 ชนิด ดังนี้
          1.1 ระบบปฏิบัติการ (Operating System) หมายถึง ชุดโปรแกรมที่อยู่ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของฮาร์ดแวร์ และสนับสนุนคำสั่งสำหรับควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ให้กับซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น 

Windows XP 


windows 8

Linux 
Mac OS X
          
         1.2 ยูทิลิตี้ (Utility Program) เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้เครื่องทำงานง่ายขึ้นเร็วขึ้น และการป้องกันการรบกวนโดยโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส , โปรแกรม Defrag เพื่อจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ใหม่ ทำให้การอ่านข้อมูลเร็วขึ้น , โปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม Uninstall Program , โปรแกรมบีบอัดไฟล์ (WinZip-WinRAR)เพื่อทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง ,โปรแกรมการสำรองข้อมูล(Backup Data)
          1.3 ดีไวซ์ไดเวอร์ (Device Driver หรือ Driver) เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ในส่วนการรับเข้าและการส่งออก ของแต่ละอุปกรณ์ เช่น เมื่อเราซื้อกล้องวีดีโอมาใหม่และต้องการนำเอาวีดีโอที่ถ่ายเสร็จ นำไปตัดต่อที่คอมพิวเตอร์ ก็ต้องติดตั้งไดเวอร์ หรือโปรแกรมที่ติดมากับกล้อง ทำการติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์รู้จักและสามารถรับข้อมูลเข้าและส่งข้อมูลออกได้
          1.4 ตัวแปลภาษา (Language Translator) คือโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลภาษาระดับต่ำหรือระดับสูงเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจว่าต้องการให้ทำอะไร เช่น เมื่อโปรแกรมเมอร์ได้เขียนโปรแกรมเสร็จโดยเขียนในลักษณะภาษาระดับต่ำ (Assenbly) หรือภาษาระดับสูง (โปรแกรมภาษา C) เสร็จก็ต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านเข้าใจ เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์จะเข้าใจเฉพาะตัวเลข 0 กับ ตัวเลข 1 เท่านั้น 
ตัวแปลภาษาแบ่งได้ 3 ตัวแปล ดังนี้
          - แอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง เช่นแปลจากภาษา Assembly เป็นภาษาเครื่อง
          - อินเทอพรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องโดยแปลทีละบรรทัดคำสั่ง เช่น โปรแกรมเมอร์ใช้โปรแกรมภาษา Basic ในการพัฒนาโปรแกรมแล้วแปลเป็นภาษาเครื่องทีละบรรทัดคำสั่ง
          - คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องโดยแปลทั้งโปรแกรมทีเดียว เช่น โปรแกรมเมอร์ใช้โปรแกรมภาษา C ในการพัฒนาโปรแกรมแล้วแปลเป็นภาษา เครื่องโดยแปลทั้งโปรแกรมทีเดียว ซึ่งจะเป็นที่นิยมมากกว่า ข้อ 2

2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์
          ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับทำงานต่าง ตามที่ต้องการ เช่น การทำงานเอกสาร งานกราฟิก งานนำเสนอ หรือเป็น Software สำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมงานทะเบียน โปรแกรมการให้บริการเว็บ โปรแกรมงานด้านธนาคาร

ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
          2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน เป็น Software ที่ใช้สำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น Software สำหรับงานธนาคารการฝากถอนเงิน Software สำหรับงานทะเบียนนักเรียน ซอฟต์แวร์คิดภาษี ซอฟต์แวร์การให้บริการร้าน Seven ฯลฯ
          2.2 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับงานทั่วไป โดยในซอฟต์แวร์ 1 ตัวมีความสามารถในการทำงานได้หลายอย่าง 

ตัวอย่างซอฟแวร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

Microsoft Word 
    ซอฟต์แวร์งานด้านเอกสาร (Microsoft Word)  จัดเป็นประเภทซอฟแวร์ทั่วไป มีความสามารถในการสร้างงานเอกสารต่าง ๆ จัดทำเอกสารรายงาน จัดทำแผ่นพับ จัดทำหนังสือเวียน จัดทำสื่อสิ่งพิมพ์  ผู้ผลิตเเละพัฒนาโดยบริษัท ไมโครซอฟท์ จำกัด




ขอบคุณที่มา : http://www.com5dow.com/

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ

                 
                      ปัจจุบันรอบตัวเรามองไปทางไหนก็พบเเต่เทคโนโลยี เทคโนโลยี เเล้วก็เทคโนโลยี
      ทุกวันสิ่งเหล่านี้ก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปช่วยจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ
      แต่เรารู้จักกันไหมว่ามันคืออะไร ? มาได้ไง ? เพื่อให้เป็นการ ไม่เสียเวร่ำเวลา  เราไปดูพร้อมๆกัน           เลยย  ><


ข้อมูล (DATA)
       
           คือ  ข้อเท็จจริงหรือสาระต่างๆที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะศึกษา อาจจะอยู่ในรูปแบบของตัวเลขหรือข้อความ  แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ต้องได้รับการประมวลผลก่อน
                                                              
                                                              
                                    สารสนเทศ (Information)
  
           คือ  ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์หรือแปลความหมายมาเเล้ว เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การฝากถอนเงินที่ตู้ ATM   คอมพิวเตอร์ เป็นต้น


       ความเเตกต่างของข้อมูลกับสารสนเทศ
           
           คือ ข้อมูลจะเป็นข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผลเเต่อย่างใด ยังไม่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เเต่ สารสนเทศจะจัดเป็นข้อมูลที่ประมวลผลมาเเล้ว เเละนำไปใช้ในชีวิตได้เเล้ว


สรุปให้เข้าใจตรงกัน ตามรูปด้านล่างเลยค่าา ^^


                             

                                                                             เขียนบทความโดย :   Waranya  Yornima